วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

fiat

FIAT



ในบรรดารถยนต์อิตาลีหลาย ๆ ยี่ห้อ ยี่ห้อทั้งที่เคยมีจำหน่ายในประเทศไทยและไม่มี น่าจะกล่าวได้ ว่า รถที่ผู้ใช้รถคุ้นเคย กันมากที่สุดคือ เฟียต นั่นเอง เฟียต เปลี่ยนสัญญา ลักษณ์ มาแล้วหลายครั้ง สัญญาลักษณ์ปัจจุบัน ไม่มีความ หมายอะไรพิเศษ นอกจาก อักษร FIAT ซึ่งย่อมาจาก FABBRICA ITALANA AUTOMOBILI TORINO ที่แปลว่า โรงผลิตรถยนต์ แห่งเมืองตูริน อันเป็นชื่อ เดิมที่ใช้เมื่อก่อตั้งกิจการ 93 ปีก่อน รถเฟียตรุ่นแรกออกสู่ตลาด เมื่อปี 1899 และนับแต่นั้นจน ปัจจุบัน เฟียตผลิตรถออกสู่ ตลาดไปแล้วไม่น้อยกว่า 320 รุ่น ผลงานส่วนใหญ่ ของเฟียตเป็น รถยนต์นั่ง ขนาดเล็ก เนื่องจากเฟียตเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เชื่อมันในปรัญชญา ผลิตรถระดับชาวบ้านที่ใช้งานได้คุ้มราคา ปัจจุบัน เฟียตไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของอิตาลีเท่านั้น หากมีฐานะเป็นกลุ่มบริษัทอุสาหกรรมที่ครอบคลุมไปทั่วทุกตารางนิ้วของแผ่นดินอิตาลี กิจการของฟียตมีตั้งแต่การผลิตรถยนต์นั่ง รถบรรทุก รถโดยสาร อุปกรณ์การก่อสร้าง อุปกรณ์การเกษตร การพลังงาน การพิมพ์ การขนส่งฯลฯ จนเป็นที่กล่าวขานกันว่าเฟียตคือ มาเฟียของอิตาลี ในส่วนของอุสาหกรรมรถยนต์ กล่าวได้ว่า เฟียตกำอุสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในอิตาลีไว้ในมือทั้งหมดเพราะบริษัทรถยนต์แทบทุกรายไม่ว่าจะเป็น ลันชิอา-อัลฟา โรเมโอ-เฟร์รารี-เอาโต บิอังคี หรือ อินโนเซนตีล้วนแล้วแต่บริษัทที่อยู่ในเครื่อข่ายของเฟียตทั้งสิ้น ปี ค.ศ. 1990 กลุ่มเฟียตผลิตรถยนต์ออกสู่ตลาดทั่วโลกทั้งสิ้นประมาณ 2,162,000 คัน เฉพาะในตลาดยุโรปตะวันตก กลุ่มเฟียตครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับสองรองจากกลุ่มโฟล์คสวาเกน/เอาดี/เซอาท ผลงานของเฟียต คว้าตำแหน่ง รถแห่งปียุโรป (EUROPEAN CAP OF THE YEAR ) รวม 5 ครั้ง คือเฟียต 124 ( ปี 1967 ) เฟียต 128 ( ปี 1970 ) เฟียต 127 ( ปี 1972 ) เฟียต อูโน (ปี 1984 ) และ เฟียต ติโป ( ปี 1989 ) ปัจจุบัน เฟียตผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายในชื่อเฟียตรวม 6 อนุกรม รถที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ เฟียต อูโน รองลงไปคือ เฟียต ติโปและเฟียต แพนดา

rolls-royd

ROLLS-ROYCE“รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลกคือรถอะไร?” เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบ แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการพูดถึง”รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลก”ชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ จะถูกกล่าวขานด้วยทุกครั้ง สัญลักษณ์ของรถยนต์นั่งระดับหรูและอัครฐานยี่ห้อนี้ เป็นตัวอักษร R สองตัว ล้อมรอบด้วยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าลบมุม ด้านบนมีชื่อ ROLLS ด้านล่างมีชื่อ ROYCE อักษร R สองตัวดังกล่าวนี้ ก็คือักษรย่อของชื่อ ROLLS และ ROYCE ซึ่งเป็นนามสกุลของชาวอังกฤษ 2 คน ที่ร่วมกันก่อตั้งกิจการผลิตรถยนต์โรลล์ส-รอยศ์นั่นเอง นอกจากสัญลักษณ์ดังกล่าวแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของโรลล์ส-รอยศ์ และเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกในชื่อ”THE SPIRIT OF ECSTASY” หรือ “จิตวิญญาณแห่งความปิติ” โรลล์ส-รอยศ์มอบหมายให้นายชาร์ลส์ โรบินสัน ไซค์ส์ (CHARLES ROBINSON SYKES)เป็นผู้ออกแบบ โดยจินตนาการถึงนางฟ้าองค์น้อยที่หลงใหลกับการเดินทางโดยรถยนต์ และได้บินลงมาประทับบนหน้าหม้อรถโรลล์ส-รอยศ์ เพื่อเริงรื่นกับอากาศอันบริสุทธิ์ หุ่นนางฟ้า”THE SPIRIT OF ECSTASY” นี้นับเป็นสัญลักษณ์รถยนต์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไปชาร์ลส์ สจวร์ท โรลล์ส (DHARLES STEWART ROLLS ) และ เฟรเดริค เฮนรี รอยศ์ (FREDERICK HENRY ROYCE) เป็นชาวอังกฤษด้วยกันทั้งคู่ แต่มีฐานะทางครอบครัวและระดับการศึกษาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงโรลล์สอยู่ในตระกูลผู้สูงศักดิ์ และสำเร็จการศึกษาด้านวิศวกรรมจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อันมีชื่อเสียง ส่วยรอยศ์เกิดในครอบครัวของสามัญชนผู้ยากจน ในวัยเด็กยังชีพด้วยการขายหนังสือพิมพ์ตามท้องถนน แต่ด้วยความมานะพยายามและสู่ชีวิต เขาได้เรียนรู้งานวิศวกรรมเบื้องต้น วิชาภาษาต่างประเทศ วิชาคำนวน และวิชาไฟฟ้าจนสามารถเปิดบริษัทของตนเองขึ้นมาได้ โชคชะตาชักนำให้คนทั้งสองได้พบกัน และร่วมกันก่อตั้งบริษัทโรลล์ส-รอยศ์ ลิมิเทด (ROLLS-ROYCE LTD.) ขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 1906 ด้วยเงินลงทุน 60,000 ปอนด์ และนั่นเองคือจุดกำเนิดของรถยนต์นั่งระดับหรูหราอัครฐานและคู่ควรกับคำว่า”รถยนต์นั่งที่ดีที่สุดในโลก” นับแต่ก่อตั้งกิจการตราบจนปัจจุบัน โรลล์ส-รอยศ์ผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายทั้งในชื่อ โรลล์ส-รอยศ์ และ เบนท์ลีย์ รวมทั้งสิ้น 43 รุ่น สำหรับรถที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันในชื่อโรลล์ส-รอยศ์ มีอยู่เพียง 3 รุ่น คือ ซิลเวอร์ สปิริททู(SILVER SPIRIT II) ซิลเวอร์ สเปอร์ ทู (SILVER SPUR II) และ คอร์นิช ธรี (CORNICHE III) ในปัจจุบัน บริษัท โรลล์ส-รอยศ์ มอเตอร์ คาร์ส์ ลิมิเทด(ROLLS-ROYCE MOTOR CARS LIMITED) เป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท วิกเคอร์ กรุพ ซึ่งมีกิจการกว้างขวาง ทั้งในด้านอุปกรณ์การแพทย์ วิศวกรรมทางทะเล ยานเกราะ อุตสาหกรรมโลหะ และอุตสาหกรรมยาน

lotus

LOTUSโลทัส เป็นชื่อของรถสปอร์ทพันธุ์อังกฤษที่นักเลงทั่วโลกรู้จักกันดี สัญลักษณ์ของรถยี่ห้อนี้ เปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายครั้งสัญลักษณ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ อักษร C ตัวใหญ่ที่ปรากฎในสัญลักษณ์ดังกล่าว เป็นอักษรตัวแรกของชื่อ COLIN SHAPMAN ผู้ก่อตั้งกิจการ ส่วนอักษร B อักษร C และอักษร A ตัวเล็ก ย่อมาจาก BRITISH CAR AUCTIONS ซึ่งเคยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ โคลิน แชพแมน (COLIN SHAPMAN) ผู้ก่อตั้งโลทัส นับเป็นบุคคลระดับ “อัจฉริยะ” เขาเกิดเมื่อปี 1928 ที่เมืองริชมอนด์ ในประเทศอังกฤษ และได้รับปริญญาวิศวกรรมโครงสร้างจากมหาวิทยาลัยลอนดอนเมื่อมีอายุเพียง 20 ปี แต่แทนที่จะประกอบอาชีพเป็นวิศวกรโครงสร้างตามที่ร่ำเรียนมา แชพแมนผู้หลงใหลใฝ่ฝันเรื่องของรถยนต์และกีฬาแข่งรถมาแต่เด็ก กลับก่อตั้งบริษัท โลทัส เอนจิเนียริง (LOTUS ENGINEERING CO.) ขึ้นเมื่อปี 1952 แล้วออกแบบและสร้างรถแข่งและสปอร์ทออกจำหน่าย โดยสั่งซื้ออุปกรณ์และชิ้นส่วนจากผู้ผลิตรายอื่น ๆ มาดัดแปลงและประกอบเป็นคันรถกิจการของโลทัสก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ควบคู่กับความสำเร็จในสนามแข่งรถ จนกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ใครก็ตามที่รู้จักกีฬาแข่งรถ ย่อมรู้จักชื่อโลทัสและโคลิน แชพแมน ความสำเร็จของรถโลทัสในสนามแข่งรถทั้งระดับชาติและระดับโลก ยากที่จะหาใครเทียมทันเฉพาะการแข่งรถฟอร์มูลา 1 ชิงแชมป์โลกอันกระเดื่องเกียรติรถโลทัสคว้าตำแหน่งชนะเสิศมาแล้วรวม 79 ครั้ง กับสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์โลกผู้สร้างรถถึง 7 ครั้ง และตำแหน่งแชมป็โลกนักขับอีก 6 ครั้ง โคลิน แชพแมนถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจเมื่อเดือนธันวาคม 1982 ในขณะที่โลทัสกำลังประสบปัญหาด้านการเงินมรณกรรมของเขาส่งผลเป็นอย่างมากต่อฐานะของบริษัท และเพียง 3 ปี หลังจากนั้นกิจการผลิตรถยนต์ของโลทัสก็ถูกเทคโอเวอร์โดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ-อเมริกา คือ เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน แต่กิจการของทีมแข่งรถยังคงเป็นสมบัติของครอบครัวแชพแมนตราบจนปัจจุบัน รถโลทัสในตลาดรถยนต์ปัจจุบัน มีอยู่เพียง 3 อนุกรม คือ โลทัส อีแลน (LOTUS ELAN) โล-ทัสเอกเซล (LOTUS EXCEL) และโลทัสเอสปรัต์ (LOTUS ESPRIT)

bentley

BENTLEY



เบนท์ลีเป็นรถยนต์นั่งระดับอัครฐานที่คงความเป็นผู้ดีอังกฤษไว้ทุกกระเบียดนิ้ว ผู้ร่ำรวยอารมณ์ขันบางคนเรียกรถยี่ห้อนี้ว่า”โรลล์ส-รอยศ์ สำหรับเศรษฐีระดับรอง” ผู้ชื่นชอบเรื่องสายลับ และเคยอ่านนิยายสายลับชุด”เจมส์ บอนด์ พยัคร้าย 007” มาแล้วคงทราบกันดีว่า รถที่ยอดสายลับของเราโปรดปรานเป็นพิเศษ คือ รถเบนท์ลีย์นี่เอง ไม่ใช่แอสตันมาร์ติน หรือโลทัส เอสปรีต์ เทอร์โบ อย่างที่เห็นในโฆษณาภาพยนต์ ผู้ให้กำเนิดรถเบนท์ลีย์ คือ วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลี (WALTER OWIN BENTLEY)ชาวอังกฤษ ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1888 และเป็นคนที่ 9 ในบรรดาพี่น้องตระกูลเบนท์ลีย์จำนวน 11 คน ในปี 1920 เมื่อมีอายุ 32 ปี เขาได้ก่อตั้งบริษัท เบนท์ลีย์ มอเตอร์ ลิมิเทด(BENTLEY MOTOR LIMITED) ด้วยเงินทุนจดทะเบียน 200,000 ปอนด์ และสร้างโรงงานขึ้นที่เมืองคริคเคิลวูดทางเหนือของกรุงลอนดอน เพื่อผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายโดยใช้ชื่อสกุลเป็นยี่ห้อรถ รถเบนท์ลีย์ในยุคนั้นจัดได้ว่าเป็นรถคุณภาพเยี่ยม แต่มีราคาแพง จึงขายได้ไม่มาก แม้ว่าชื่อเสียงเป็นที่นิยมกัน เพราะสามารถชนะเลิศการแข่งขันเลอมองส์ (LEMANS)ถึง 4 ปี ติดต่อกันในปี 1927-1930 เบนท์ลีย์จึงประสบปัญหาด้านการเงินอยู่บ่อย และเพียง 11 ปีหลังการก่อตั้ง คือในปี 1931 วอลเตอร์ โอเวน เบนท์ลีย์ ก็ถูกสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องขายกิจการทั้งหมดให้แก่โรลล์ส-รอยศ์และตัวเขาเองเปลี่ยนฐานะจากผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งของโรลล์ส-รอยศ์ ตั้งแต่ปี 1931 เป็นต้นมาเบนท์ลีย์ มอเตอร์ จึงกลายสภาพเป็นบริษัทในเครือของโรลล์ส-รอยศ์ และรถเบนท์ลีย์ทุกคันก็ผลิตจากโรงงานเดียวกับรถโรลล์ส-รอยศ์อันโด่งดังนั่นเอง ปัจจุบันเบนท์ลีย์ผลิตรถยนต์นั่งออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 5 โมเดล

porche



PORSCHEเมื่อเอ่ยถึงรถสปอร์ทพันธุ์เยอรมันนักเลงรถสปอร์ทร้อยทั้งร้อยต้องนึกถึงชื่อ โพร์เช เป็นชื่อเเรก เพราะรถสปอร์ทยี่ห้อนี้ครองใจผู้ใช้รถทั่วโลกมาแล้วกว่าสี่ทศวรรษ สัญลักษณ์ของโพร์เช เป็นตราประจำเมืองชตุทท์การ์ท(STUTTGART)ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถโพร์เชนั่นเอง ประวัติความเป็นมาของโพร์เชก็คือประวัติของ ดร.เฟร์ดินันด์ โพร์เช (DR.FEREINAND PORSCHE) “อัจฉริยบุคคลแห่งโลกรถยนต์” ที่วงการรถสปอร์ททั่วโลกรู้จักกันดี ก่อนก่อตั้งบริษัท DR.ING.H.V. PORSCHE AG และผลิตรถยนต์สปร์ทออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 1948 เฟร์ดินัน โพร์เช เคยทำงานให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของเยอรมนีมาแล้วหลายราย เช่น เมร์เซเดส-เบนซ์ โฟล์คสวาเกน วอนเดเร์ ฯลฯ ผลงานที่เฟร์ดินันท์ โพร์เช สร้างขึ้นและถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการรถยนต์มีมากมายสุดจะจาระไน นอกจากชื่อเสียงในการผลิตรถสปอร์ทชั้นยอด ในวงการแข่งรถชื่อเสียงของโพร์เชก็ไม่น้อยหน้าใคร โพร์เชชนะมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าการแข่งความเร็วระยะสั้น การแข่งรถทางไกล หรือการแข่งเเรลลี ประจักษ์พยานยืนยันคือ ตำแหน่งเเชมป็การแข่งเลอมองส์ 24 ชั่วโมง อันมีชื่อเสียง แชมป์ผู้สร้างรถฟอร์มูลา 2 แชมป์โลกแรลลีสามสมัยซ้อน (1968-1970)แชมป์โลกผู้สร้างรถฟอร์มูลา 1 สองสมัยซ้อน (1984-1985) ฯลฯ มักเข้าใจกันอย่างผิดๆ ว่าโพร์เชเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีโฟล์คสวาเกนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แท้จริงแล้วโพร์เชยังคงมีลักษณะเป็น”กิจการในครอบครัว” คือมีผู้ถือหุ้นเพียง 10 คน โดยที่หัวเรือใหญ่ คือ เฟอร์รี โพร์เช อภิชาต บุตรของเฟร์ดินันด์ โพร์เชซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 1915 ปัจจุบันโพร์เชมีโรงงานผลิตรถยนต์อยู่เพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ที่เมืองชตุทท์การ์ท เยอรมนีตะวันตก ในปี 1990 โพร์เชผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 32,162 คัน รถที่ผลิตมากที่สุดคือ โพร์เช 911 รองลงไปคือ โพร์เช 944 และโพร์เช 928 ปัจจุบันโพร์เชผลิตรถสปอร์ทออกจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 12 โมเดล

volkswagen

VOLKSWAGENหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่สองรถยนต์ที่ดังและเป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุดในเมืองไทยมีอยู่สอง “ฟ” เฟียต และ “ฟ” โฟล์ก คู่หูคู่โหดที่จุดเพลิงสงครามโลกทางยุโรป สองชาตินี้คืออิตาลีและเยอรมนี ที่โหดเหี้ยมที่สุดคือเยอรมนีที่มีพ่อหนวดกระจุกเป็นผู้นำปฏิบัติการ จองเวรกับยิวฆ่าพวกตายเป็นล้าน ๆ คนอย่างที่เรียกว่า “จอมโหด” ส่วนจอมเหี้ยมที่ตะวันออกคือ เสือเตี้ยชาวซามูไรที่บุกตะลุยประเทศตะวันออกกระจุยไปตาม ๆ กันน่าแปลกที่ประเทศแพ้ สงครามคือ เยอรมนีและอิตาลีมีรถยนต์ที่ยังเหลือความนิยมอยู่ในเมืองไทยและประเทศอื่นทางภาคนี้บางประเทศ รถยนต์โฟล์กและเฟียตมีลูกค้าเมืองไทยเต็มเมืองส่วนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นสินค้ารถยนต์หรือสินค้าอื่นเกือบทุกชนิดคนไทยไม่นิยมและไม่ชอบเอามาก ๆ สินค้า “เมดอิน เจเปน” มีแต่คนร้องยี้ว่าเป็นสินค้าปลอมลอกเลียนไปจากสินค้าประเทศอื่น ส่วน “เมด อิน ยู.เอส.เอ.” ได้รับความนิยมอย่างสูงเรียกว่า “สูงสุด” ทีเดียว ความนิยมในรถยนต์โฟล์กและเฟียตมีอยู่นานไม่กี่ปีก็ถึงยุคเสื่อม โดยมียี่ห้อเฟียตเสื่อมก่อนทั้งเรื่องเครื่องยนต์และเรื่องไฟ ส่วนโฟล์กแม้จะมีอะไรดี ๆ ทั้งเรื่องน้ำคือไม่ต้องใช้น้ำระบายความร้อนและเครื่องยนต์ แต่รูปร่างของมันที่เรียกว่า “เต๋าทอง” ที่เคยคลั่งชอบกันมาก ๆ ก็เริ่มถอยลงโดยมองจุดเครื่องยนต์อยู่ท้ายตัวรถว่าไม่มีความปลอดภัยสำหรับชีวิตในตัวรถยนต์เพียงพอ ในขณะเดียวกันผู้ใช้รถยนต์ได้หันไปมองรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังมาแรงและด้วยคุณภาพที่ดีขึ้นทุกปีทุกรุ่น ด้วยเวลาเพียงทศวรรษเดียวความนิยมในรถยนต์ของโฟล์กและเฟียตที่เสื่อมลงก็ถูกรถยนต์ “เมดอิน เจแปน” เข้ามาสวมแทนที่ด้วยความขยันขันแข็งและความอดทนของชาวซามูไรที่กล้ำกลืนความอดสูในความพ่ายแพ้ในสงคราม และการมีผู้นำที่ดีคนญี่ปุ่นทั้งประเทศเริ่มบุกเบิกประเทศใหม่ มันเป็นการเริ่มต้นชีวิต ของแต่ละคน แต่ละครอบครัวและประเทศใหม่ ต่างก้มหน้าก้มตาทำแต่งานหามรุ่งหามค่ำโดยไม่คำนึงถึงเวลาและเหงื่อไคลเพื่อหาเงินตราสกุลต่างประเทศโดยเฉพาะสกุล “ดอลลาร์” เข้าประเทศให้มากที่สุดโดยไม่สนใจเงิน “เยน” ที่มีค่าถูกที่สุดในประเทศและทั่วโลกเลย และสินค้าของญี่ปุ่นที่ทำเงินจากทั่วโลกมากที่สุดก็คือสินค้ารถยนต์ แม้เวลาจะผ่านจากการพ่ายแพ้สงครามมาแล้ว 50 ปี เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเวลานี้ไปล้ำหน้าประเทศผู้ชนะสงครามหลายขุม ญี่ปุ่นมีเงินตราต่างประเทศเช่น เงินดอลลาร์และเงินมาร์กหนุนหลังเต็มคลัง แม้กระนั้นญี่ปุ่นก็ยังไม่เคยหยุดยั้งที่จะกวาดหาเอาเงินต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่คนในประเทศยังมีคนยากจนอยู่อีกจำนวนมาก ดูเอาง่าย ๆ สินค้ารถยนต์ที่ญี่ปุ่นผลิตออกมาจำหน่ายมากเป็นอันดับที่หนึ่งทั่วโลกปีละประมาณ 8 ล้านคัน แต่เชื่อหรือไม่ว่าในญี่ปุ่นคนญี่ปุ่นมีรถยนต์ใช้มากอยู่ในอับดับที่ 7 แทนที่จะมีใช้มากเป็นอันดับหนึ่ง คือคนญี่ปุ่น 4.5 คน มีรถยนต์ใช้หนึ่งคันเท่านั้น เมื่อมองดูสหรัฐที่ผลิตรถออกมามากเป็นอันดับที่สองปีละประมาณ 7 ล้านคน คิดแล้วคนสหรัฐมีรถใช้กันในอัตรา 1.9 คนต่อหนึ่งคัน ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในโลกที่คนสหรัฐใช้รถกันมาที่สุดเมื่อเป็นดังนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า ญี่ปุ่นรวยเฉพาะพวกนายทุนและรัฐบาล ส่วนประชาชนคนญี่ปุ่นไม่รวย แม้จะมีเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยสูงแต่ค่าใช้จ่ายความเป็นอยู่ในญี่ปุ่นก็สูงลิ่ว แม้จะประหยัดกันเต็มที่ก็ยังไม่พอยู่นั่นเองตลาดรถโฟล์กในไทยและประเทศในเอเชียรวมทั้งสนามสหรัฐเวลานี้มิได้รับความนิยมมากเหมือนก่อนเมืองเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์จะไม่เข้าขั้นในอันดับอะไรทั้งสิ้น แต่ในสนามประเทศยุโรปยังได้รับความนิยมไม่น้อย โฟล์กได้พยายามกู้ชื่อในสนามเอเชียและสนามสหรัฐ แต่ก็ไม่ได้ผลกลับคืนมาแต่อย่างใด ยิ่งในสนามสหรัฐมันคงตัวไม่เพิ่มขึ้น โฟล์กไม่ไรับความสนใจในสื่อมวลชน ทั้งนี้ดูจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ ไม่เห็นมีโฆษณาหรือเห็นน้อยบางตาเต็มที ยิ่งในโทรทัศน์ ทั้ง ๆ ที่ผมดูโทรทัศน์มากกว่าคนอื่น ๆ แต่ก็ไม่เห็นโฆษณาของโฟล์กอยู่ดี บริษัทโฟล์กสวาเกน เป็นบริษัทสร้างรถมากเป็นอันดับหนึ่งในประเทศยุโรป และเป็นอันดับที่สี่ในโลก บริษัทมีพนักงานหรือคนงาน 251,000 คน มีรายได้ปีละ 35,000 ล้านดอลลาร์ เป็นกำไร 523 ล้านดอลลาร์ เริ่มก่อตั้งปี 1937 เรื่องหุ้นหรือสต๊อกไม่เคยเห็นอยู่ในระบบหรือในลิสต์ ดูเป็นเรื่องลึกลับในสหรัฐครับ ด้วยการสนับสนุนของจอมเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ สมัยเริ่มครองอำนาจในเยอรมนีใหม่ ๆ ทำให้รถโฟล์กได้รับความนิยมเรียกว่าเกือบทั่วโลกแต่ไม่รวมในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่มีเจ้า “เต่าทอง” ออกมาจำหน่ายในสหรัฐจนถึงปี 1990 มีเพียง 5 ล้านกว่าคัน ในปี 1970 และปีต่อ ๆ มารถโฟล์กครองสหรัฐ 7 เปอร์เซ็น จนกระทั่งถึงปี 1989 โฟล์กเหลืออยู่ในตลาดสหรัฐเพียง 2 เปอร์เซ็น ทั้งนี้เรื่องเครื่องยนต์อยู่ตอนส่วนท้ายของตัวรถยนต์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โฟล์กได้รับความนิยมน้อยลงในเรื่องความปลอดภัย มีเดียสหรัฐนับเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งเพาะมีความฉับไวในการเสนอข่าวความบกพร่องของโฟล์ก และอีกส่วนหนึ่งคือการศึกษาของคนอเมริกันที่มีสูงและให้ความไว้วางใจในการออกข่าวภาครัฐและการเสนอตามอีกของมีเดีย ไม่ว่าอะไรจะดีและเลวมันเกิดผลได้ทันทีเมื่อโฟล์กได้เสื่อมลง คนอเมริกันได้หันไปสนใจรถญี่ปุ่นมากขึ้นแทนที่ทันที รถญี่ปุ่นเริ่มได้รับความสนใจและนิยมในหมู่คนอเมริกาอย่างมากในปี 1980 เป็นต้นมา ในปี 1978 โฟล์กในมิชิแกน (โฟล์กเป็นบริษัทรถยนต์ต่างชาติบริษัทแรกที่มีโรงงานสร้างในสหรัฐ) เริ่มผลิตแบบหรือรุ่น “แรบบิตส์” ออกมาเป็นตัวแทนรุ่น “เต่าทอง” ที่เริ่มมองเห็นว่ามันจะไปไม่รอดในสนามสหรัฐแต่เจ้ากระต่ายก็มิได้ช่วยทำให้สถานการณืของโฟล์กฟื้นตัวขึ้นแต่อย่างใด ขณะนั้นโรงงานโฟล์กเกิดปัญหากับกรรมกรสร้างรถยนต์ซึ่งเป็นคนทำเกิดการฟ้องร้องกันขึ้นในเรื่องผิว ผู้ช่วยผู้จักการแผนกบุคคลคนหนึ่งฆ่าตัวตาย บางเสียงว่าถูกฆาตกรรมได้พบโน้ตข้อความจากผู้ตายว่าได้รับความกดดันจากนายจ้างไม่ให้ร่วมมือกับการฟ้องร้องของคนดำถ้าไม่ร่วมมือบริษัทจะฟ้องเขาในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับลูกจ้างสตรีบางคน ฯลฯ พอถึงปี 1988 หลังจากมีการฟ้องร้องแล้ว 10 ปี โฟล์กตัดสินใจปิดโรงงานในมิชิแกนสิ้นสุดยุคของโฟล์กในดินแดนสหรัฐตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา ผู้ริเริ่มสร้างรถโฟล์ก “เต่าทอง” คือ นายเฟอร์ดินานด์ ฟอสซ์ (หรือที่เรียกในไทยว่า “พอสเซ่” ) ที่ต้องการสร้างรถยนต์ราคาถูกเพื่อคนจนเยอรมันจะได้มีรถใช้โดยการสนับสนุนของจอมเผด็จการฮิตเลอร์ เขาเคยเสนอแบบดีไซน์โฟล์กแก่นายจ้างเก่าคือนายเตมเลอร์ เบนซ์ เจ้าของรถเบนซ์แต่ไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใด

cherolet

CHEVROLET



ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเชฟวี่ทรัค เริ่มต้นเมื่อกว่า 80 ปีที่ผ่านมา เมื่อเชฟโรเลตแนะนำรถเชฟวี่ทรัครุ่นแรก ออกสู่ตลาด ในปี 1918 ด้วยความแข็งแกร่งและทรหดของเครื่องยนต์โครงแชสซี ระบบกันสะเทือนที่รองรับทุกรูปแบบการบรรทุก ส่งผลให้เชฟวี่ทรัคได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพยายามอย่างไม่หยุดนิ่งของเชฟโรเลต ทำให้สายพันธ์เชฟวี่ทรัค มีการพัฒนาการเคียงคู่กับความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยมาตามลำดับดังนี้ 1918 เปิดตัวรถเชฟวี่ทรัค 2 รุ่นแรกคือ เชฟโรเลต 490 ซีรี่ส์ และโมเดล ที ซึ่งสร้างขึ้นจากแชสซีของรถยนต์นั่ง และติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ ทำความเร็วได้ 30 ไมล์/ชั่วโมง ผลิตขึ้นจากโรงงานในเมือง เซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี่1921 แนะนำเชฟวี่ทรัค โมเดล จีออกสู่ตลาด 1926 เปิดตัวเชฟโรเลต วี-ซีรีส์ โรดสเตอร์ปิกอัพซึ่งมีกระบะไม้ขนาดเล็กติดตั้งอยู่ด้านหลังหัวเก๋ง
การปรับปรุงรายละเอียดทางวิศวกรรมครั้งใหญ่มีขึ้นในปี 1936 โดยเริ่มนำเพลาหลังแบบลอย และระบบเบรก ไฮโดรลิก มาติดตั้งเป็นครั้งแรก และเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งให้เป็นที่ประจักษ์เชฟโรเลตจึงส่งรถกระบะรุ่นใหม่ 1 คัน ออกแล่นพิสูจน์สมรรถนะและความประหยัด รวมทั้งปีนขึ้นหุบเขา Pike Peak ในโคโลราโดพร้อมสัมภาระที่น้ำหนักรวมถึง 5 ตัน และสามารถทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้โดยไม่มีความบกพร่องใด ๆ ทั้งสิ้น โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 328 ชั่วโมง กับอีก 31 นาที ใช้ความเร็วเฉลี่ย 31 ไมล์/ชั่วโมง รวมระยะทางมากถึง 10,244 ไมล์ มาจนถึงทุกวันนี้ ทีมวิศวกรของเชฟโรเลตยังคงทำการทดสอบรถกระบะรุ่นใหม่ที่ Pike Peak เพื่อทดสอบให้มั่นใจในความแข็งแกร่งและทรหด ก่อนผลิตออกสู่ตลาด ในปี 1936 เปลี่ยนโฉมเชฟวี่ทรัค ให้ทันสมัยขึ้นและทนทรหดยิ่งขึ้นจนผ่านบทพิสูจน์ ทะยานสู่หุบเขา ไพค์ พีค (Pike Peak) พร้อมสัมภาระน้ำหนักรวม 5 ตัน อย่างไร้ปัญหา สร้างชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งและทนทานให้กับเชฟวี่ทรัคจนถึงทุกวันนี้ต่อมา หน่วยงาน American Automobile Association (AAA) ได้นำรถเชฟวี่ทรัค ขนาดครึ่งตันแต่แบกน้ำหนักสัมภาระไว้ถึง 1,000 ปอนด์ ไปทดสอบการใช้งานตามโครงการ Second Annual Safe Driving Test ซึ่งเป็นบทพิสูจน์อย่างดีของเชฟวี่ ทรัค ในด้านความประหยัด เพราะใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ยต่ำมาก อีกทั้งไม่มีปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องใด ๆ ทั้งที่มีการจอดแวะเพื่อบำรุงรักษาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผลจากการทดสอบครั้งสำคัญนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเชฟวี่ ทรัค เริ่มเป็นที่เลื่องระบือนามนับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากผู้บริโภค ทำให้ยอดขายของเชฟวี่ ทรัค แซงขึ้นหน้าคู่แข่งได้สำเร็จ จนยอดผลิตสะสมตั้งแต่ปี 1918-ปี 1941 พุ่งสู่ระดับ 2 ล้านคัน และยืนหยัดอยู่ในอันดับ 1 มากกว่า 30 ปี เมื่อสหรัฐอเมริกาต้องเข้าสู่สภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของสหรัฐฯในขณะนั้นได้ประกาศให้ผู้ผลิต รถยนต์ทุกแห่ง เปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ผลิตยุทธปัจจัยเพื่อป้อนให้กับกองทัพ ด้วยเหตุนี้การผลิตรถยนต์ทุกประเภทเพื่อขายให้กับประชาชน จึงต้องสะดุดลง ชั่วคราว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จีเอ็มและเชฟโรเลต กลายเป็นผู้ผลิตรถกระบะสำหรับใช้สนับสนุนกองทัพอเมริกัน มากถึง 3 เท่าของผู้ผลิตรายอื่น ด้วยยอดผลิตจากทั้งหมด 94 โรงงานทั่วสหรัฐอเมริกา สูงถึง 854,000 คันภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1947 เชฟวี่ ทรัค รุ่นใหม่ แอดวานซ์ ดีไซน์ ซีรีส์ Advanced Design Series ก็ได้ถูกแนะนำตัวสู่ตลาดรถอเมริกันอีกครั้งด้วยความยาวมากขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มความสบายให้ผู้โดยสาร ทั้งยังช่วยให้มีการระบายอากาศที่ดี ติดตั้งกระจกบังลมหลังทรงโค้งมน ช่วยลดจุดบอดทัศนวิสัยได้ดีขึ้น และยังเป็นรุ่นแรกที่ติดตั้งใบปัดน้ำฝนแบบ 2 ก้าน รวมทั้งการออกแบบแชสซีขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม เชฟโรเลตยังคงเพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงคาร์บิวเรเตอร์แบบ เพาเวอร์เจ็ท โช้คอัพแบบ Direct Double ไปจนถึงที่ล็อคประตูแบบกดปุ่ม ทำให้รถกระบะรุ่นนี้กลายเป็นรุ่นสำคัญอีกรุ่นหนึ่งที่ผลักดันให้ จีเอ็มกลายเป็นผู้นำของโลกอุตสาหกรรม ยานยนต์ในยุคหลังสงครามโลก 1955 เปิดตัวเชฟวี่ทรัค เครื่องยนต์ วี 8 ติดตั้งในรถกระบะรุ่นปี 1955 ออกแบบโดยหัวหน้าทีมวิศวกรของเชฟโรเลตในยุคนั้นที่ชื่อ Edward Cole จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบที่เรียบง่าย แต่ให้พละกำลังสูง อีกทั้งยังทนทาน และมีขนาดเล็กกว่า เครื่องยนต์ วี8 ในยุคก่อน ๆ และที่สำคัญก็คือเครื่องยนต์ วี8 นี้ถูกติดตั้งเชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติซึ่งถือเป็นความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี จีเอ็มและเชฟโรเลตเริ่มใช้มาตังแต่ปี 1955 ขณะเดียวกันผู้บริโภคยุคนั้นเริ่มต้องการรถกระบะที่ไม่เพียงแต่ใช้งานเพื่อการบรรทุกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องถึงพร้อมด้วยความเป็นพาหนะสำหรับใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายดังนั้น ในปี 1955 เชฟโรเลตจึงสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ เปิดตัว เชฟโรเลต คามิโอ แคร์ริเออร์ รถปิคอัพส่วนบุคคล “ Personal Pickup” รุ่นแรกของวงการ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สวยงามการใช้ชิ้นส่วนตัวถังทำจากพลาสติก และไฟเบอร์กลาส รวมทั้งไฟท้ายทรงเอกลักษณ์และฝาครอบล้อจากรถยนต์รุ่นดังระดับตำนานอย่าง เชฟโรเลต เบลแอร์ นอกจากนี้ยังเป็นรถกระบะรุ่นแรกในสหรัฐอเมริกา ที่มีตัวถังด้านข้างแบบเรียบ (non-stepside) จนคู่แข่งทั้งหลายพากันเลียนแบบ ทำตลาดจนถึงปี 1985นับจากปี 1918 จนถึงปี 1957 ยังมีรถกระบะเชฟโรเลตในสหรัฐอเมริกาต่อทะเบียนในปีนั้นมากถึง 3 ล้านคัน คิดเป็น 40 % จากยอดผลิตทั้งหมด ตัวเลขนี้แสดงถึงความโดดเด่นในด้านความแข็งแกร่ง ทนทานของรถกระบะสายพันธุ์เชฟวีทรัคได้อย่างดี ยุคสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงของ เชฟวี่ทรัค จากรถปิกอัพ พัฒนาจนมาเป็นรถเก๋งอย่าง Chevrolet El Camino ที่ยังคงความอเนกประสงค์ตามแบบฉบับไว้อย่างดี นอกจากนั้นในปี 1967 เป็นปีแห่งเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสายพันธ์เชฟวีทรัค ด้วยการนำระบบกันสะเทือนหน้า--หลังแบบคอยล์สปริงมาใช้เป็นครั้งแรกในเชฟวี่ทรัครุ่นใหม่ ++Chevrolet El Camino ความอเนกประสงค์บนเรือนร่างของรถเก๋ง++1959 เชฟโรเลตสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์อีกครั้งด้วยการส่งเชฟโรเลต เอล คามิโน ออกสู่ตลาดด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวแบบรถเก๋งร่วมสมัย เครื่องยนต์มีทั้งแบบ 6 สูบ 325 แรงม้า และ วี 8 360 แรงม้า ประกอบเข้ากับความอเนกประสงค์พื้นที่กระบะหลังที่ยาวถึง 6 ฟุต และกว้างถึง 5 ฟุต จุได้มากพอ ๆ กับรถกระบะทั่วไปในยุคนั้นและรับน้ำหนักได้ถึง 1,000 ปอนด์ เอล คามิโน รุ่นสุดท้ายเปิดตัวเมื่อปี 1978 และอยู่ในตลาดจนถึง ปี 1987++ก้าวสู่ยุค 1960 ด้วยทางเลือกที่หลากหลายภายใต้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า++ ทศวรรษ 1960 เชฟโรเลตยังคงเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการออกแบบ รถกระบะ ด้วยรูปโฉมที่กว้างขึ้น ยาวขึ้น แต่ลดความสูงลงตามสมัยนิยมถึง 7 นิ้วจากเดิม ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนมาใช้เฟรมแชสซีแบบ ladder-type อีกทั้งยังออกแบบให้หัวเก๋งสะดวกต่อการเข้าออกของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เชฟโรเลตยังเป็นรถกระบะรุ่นแรกที่ติดตั้งระบบกันสะเทือนหน้าอิสระมาตั้งแต่ปี 1960 ในปี 1961 เชฟโรเลตได้เปิดตัวรถเชฟวีทรัครูปแบบใหม่ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น นั่นคือ เชฟโรเลตคอร์แวร์ 95 ซีรีส์ แรมพ์ไซด์ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุกทั่วๆ ไป เป็นหนึ่งในเรื่องความประหยัด และความอเนกประสงค์ แปลกใหม่ด้วยแผงกระบะด้านข้างลำตัวที่เปิดออกได้เสริมด้วยพื้นฐานล้อยาว 95 นิ้ว ช่วยให้คล่องตัวในการขับขี่มีพิกัดบรรทุก 1,900 ปอนด์ ทำตลาดจนถึงปี 1964 ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย เชฟโรเลต แวน รถตู้เพื่อการพาณิชย์รุ่นยอดนิยม++1966 ยอดผลิตของรถกระบะเชฟโรเลตทั้งหมดพุ่งสู่หลัก 10 ล้านคัน++ปี1967 เป็นปีแห่งเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสายพันธ์เชฟวีทรัค ด้วยการนำระบบกันสะเทือนหน้า--หลังแบบคอยล์สปริงมาใช้เป็นครั้งแรกในเชฟวี่ทรัครุ่นใหม่ ที่มีตัวถัวแบนและกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่ที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ด้วยระบบผ่อนแรงเบรก แผงหน้าปัดแบบนุ่ม ลดการบาดเจ็บของศีรษะผู้โดยสารเมื่อถูกปะทะ++ความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อครองความเป็นหนึ่ง++เดือนมีนาคม 1972 เชฟโรเลต ร่วมมือกับอีซูซุ มอเตอร์ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวเชฟโรเลต ลูฟ (LUV: Light Utility Vehicle) ครองใจผู้คนด้วยความประหยัดจากขุมพลังแบบ 4 สูบ OHC 75 แรงม้าเชื่อมต่อกับเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ แต่สามารถบรรทุกได้ถึง 1,100 ปอนด์ และที่สำคัญคือ ราคาประหยัด ลูฟจึงตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคที่มีวิกฤตการณ์เชื้อเพลิงโลกได้อย่างดี และถูกแทนที่ด้วย เอส-10 ในปี 1982 1973 เชฟวี่ทัครุ่นใหม่ เปิดตัวพร้อมตัวถังครูว์แค็บ 4 ประตู1978 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล เป็นครั้งแรก ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น1981 เพิ่มระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 แบบใหม่ที่ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนเป็นสี่ล้อได้โดยไม่ต้องลงจากรถ1982 เปิดตัวเชฟโรเลต s10 คอมแพกต์ทรัค พร้อมขุมพลังวี6 เป็นรายแรกในตลาดรถกระบะขนาดกลาง1983 ยอดผลิตสะสมของเชฟวี่ทรัคทุกรุ่น สูงถึง 18.5 ล้านคัน นับตั้งแต่ปี 1955 ในจำนวนดังกล่าวยังคงมีเชฟวี ทรัคอยู่ถึง 11 ล้านคันที่ยังโลดแล่นอยู่ในชีวิตของผู้คนทั่วโลกในขณะนั้น++ก้าวสู่ยุคแห่งความสมบูรณ์แบบ++1987 เปิดตัวเชฟโรเลต ซี/เค ซีรี่ส์ (C/K series) ติดตั้งระบบเอบีเอส ล้อหลัง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อินสต้า แทรค (Insta Trac) และตัวถังแบบกระบะตอนครึ่ง (Extended Cab) รายแรกในตลาดโลก1991 เพิ่มขุมพลังเบนซิน วอร์เทค (Vortec) ระบบเอบีเอส ทั้ง 4 ล้อ และถุงลมนิรภัย1994 เชฟโรเลต S10 โฉมใหม่ ออกสู่ตลาด พร้อมรูปลักษณ์ที่ลู่ลมยิ่งขึ้น และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อินสต้าแทร็ค (Insta Trac)++สืบทอดสายเลือดทรหด++หัวใจสำคัญที่ทำให้รถเชฟวี่ทรัค ครองใจผู้คนในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกมานานกว่า 80 ปี เป็นผลมาจากการนำทุกความต้องการของผู้บริโภค มาผสมผสานเข้ากับประสบการณ์และความรู้ในเชิงเทคโนโลยีวิศวรรมชั้นเลิศ ของทีมวิศวกรเชฟโรเลตในแต่ละยุคสมัย ที่สั่งสมและถ่ายทอดสืบต่อมา จนได้มาซึ่งเชฟวี่ทรัค รุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่ผู้คนจำนวนมาก ต่างยอมรับในความเป็นหนึ่งในด้านความแข็งแกร่ง ทรหด บึกบึน เพื่อทุกรูปแบบการใช้งาน อย่างแท้จริง ในปี 1999 เชฟโรเลต ซิลเวอร์ราโด ก้าวสู่ความล้ำหน้าด้วยรูปโฉมใหม่ทั้งคัน แข็งแกร่งขึ้นพร้อมขุมพลัง Vortec ปี 2000 เชฟโรเลต เอส เอส อาร์ (SSR) รถกระบะ สปอร์ต โรดสเตอร์ ขับเคลื่อน ล้อหลังที่ใช้เครื่องยนต์ V8 และมีจุดเด่นที่ประทุนหลังคาแบบเปิด-ปิดได้ เอส เอส อาร์นี้สร้างกระแสความสนใจอย่างมากก่อนจะเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2003 และได้รับการคัดเลือก ให้เป็นรถนำขบวน (Pace car) ในการแข่งขันอินดี้ คาร์ 2004 ในสหรัฐปี 2004 เชฟโรเลต โคโลราโด รถกระบะขนาดหนึ่งตันของเชฟโรเลตที่มีขนาดตัวถังใหญ่ที่สุดเท่าที่เชฟโรเลตเคยผลิตและมีรุ่นให้เลือกมากที่สุด จากประสบการณ์ที่ผ่านมากาลเวลามากว่า 80 ปี จวบจนถึงทุวันนี้ เชฟโรเลต ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเชฟวี่ทรัค รุ่นใหม่ ๆ ให้ถึงพร้อมด้วยสมรรถนะที่เป็นเลิศ ผสานความแข็งแกร่งปลอดภัย ให้ประจักษ์ถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นตามแบบฉบับเชฟวีทรัคสไตล์อเมริกัน